หนึ่งในสโมสรระดับตำนานของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งปัจจุบันพวกเขาได้เจ้าของทีมใหม่เทคโอเวอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ถ้าหากพวกเขาเดินทางที่ถูกต้อง สโมสร นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด จะกลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดของเกาะอังกฤษได้ทันที ซึ่งแม้ว่าทีมนี้จะเป็นทีมที่โลดแล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีกอย่างยาวนาน และ พอมีแฟนคลับหนาหูอย่างบ้าง ซึ่งในประเทศไทยของเราก็มีแฟนพันธุ์ทีมนี้เหมือนกัน แต่น้อยคนนักที่จะรู้ถึงประวัติความเป็นมาของสโมสรแห่งนี้ วันนี้ทีมงาน Newcastlesoccer จะขอสถาปนาตนเอง ที่จะนำข้อมูลเกี่ยวกับสโมสรแห่งนี้ มาแนะนำให้พี่ๆ น้องๆ แฟนฟุตบอล ได้รู้จักสโมสรแห่งนี้กันมากขึ้น รวมถึงจะตั้งใจนำคอนเทนต์และบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับสโมสรแห่งนี้ มาเผยแพร่ที่เว็บไซต์นี้แบบจัดเต็ม ส่วนวันนี้มาพูดถึงประวัติความเป็นของสโมสรแห่งนี้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ว่ามีเรื่องราวอะไรกันบ้าง
ประวัติของสโมสร นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
สโมสรนิวคาสเซิ่ล เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพของอังกฤษที่ตั้งอยู่ในเมืองนิวคาสเซิล อะพอน ไทน์ และเล่นในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ สโมสรก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1892 โดยเกิดจากการควบรวมกิจการของ นิวคาสเซิลอีสต์เอนด์ และ นิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ โดยใช้สีดำสลับขาวตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสโมสร
โดยจุดเริ่มต้นของสโมสรแห่งนี้ เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ส. 1881 ทีมคริกเก็ตสแตนลีย์ได้ตัดสินใจตั้งทีมฟุตบอลขึ้น เพื่อลงเล่นในช่วงที่ฤดูกาลแข่งขันคริกเก็ตปิดตัวลงในฤดูหนาว โดยนัดแรกของพวกเขาชนะเกมแรก 5–0 โดยมีคู่แข่งเป็นทีมเอลสวิกเลเธอร์เวิร์คส์ชุดสำรอง หนึ่งปีต่อมา ทีมก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลอีสต์เอนด์
ขณะเดียวกัน ทีมคริกเก็ตอีกทีมหนึ่งในย่านเดียวกันก็ได้เริ่มสนใจที่จะตั้งทีมฟุตบอล จนกระทั่งมีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ขึ้น ในเดือนสิงหาคม 1882 โดยในช่วงแรกนั้น พวกเขาใช้สนามคริกเก็ตเดิมเป็นสนามเหย้า
ก่อนที่จะย้ายไปลงเตะในเซนต์เจมส์พาร์ก หลังจากนั้น ได้มีการจัดตั้งฟุตบอลลีกท้องถิ่นขึ้นในปี 1889 การที่มีลีกอาชีพในบริเวณใกล้เคียงให้ลงเตะ ประกอบกับความสนใจในถ้วยเอฟเอคัพ ทำให้นิวคาสเซิลอีสต์เอนด์เปลี่ยนจากทีมสมัครเล่นมาเป็นทีมอาชีพในปีเดียวกันนั้นเอง
แต่ทว่าทางฝั่งนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์กลับล้มเหลวที่จะตามรอยทีมเพื่อนบ้านสู่สถานะทีมฟุตบอลอาชีพ กระทั่งในช่วงต้นปี 1892 ผู้บริหารของนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ได้ตัดสินใจที่จะขอเข้าควบกิจการกับนิวคาสเซิลอีสต์เอนด์ เพื่อมิให้ทีมต้องยุบตัวลง การควบกิจการเป็นไปด้วยดี
ในเดือนธันวาคม 1892 ชื่อ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ก็ถูกเลือกให้เป็นชื่อใหม่ของทีม จากการควบรวมกันของสองกิจการ โดยมีผู้จัดการทีมคนแรกคือ แฟรงก์ วัตต์
สนามเหย้าของพวกเขา คือสนาม เซนต์ เจมส์ พาร์ค ที่ตั้งอยู่ใจกลางของเมืองนิวคาสเซิ่ล โดยสนามแห่งนี้ปรับปรุงหลายจุด แต่จะมีที่นั่งทั้งหมดในสนาม โดยล่าสุดปรับปรุงช่วงกลางปี 1990 โดยมีความจุ 52,305 ที่นั่ง ซึ่งสนามแห่งนี้มีมนต์ขลังพอสมควร ไม่เชื่อลองดูการถ่ายทอดสดในเกมเหย้าของพวกเขาได้เลย
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ได้เล่นในลีกสูงสุดมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ก่อตั้งลีกในปี 1893 เกียรติประวัติทั้งหมดที่สโมสรคว้าแชมป์มาได้ ก็มี ชนะเลิศลีกสูงสุด 4 สมัย, เอฟเอ คัพ 6 สมัย และ คอมมูนิตี้ ชิลด์ 1 สมัย
ส่วนในการแข่งขันระดับทวีป พวกเขาได้แชมป์ อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ และ ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ รายการละ 1 สมัย โดยพวกเขาเป็นสโมสรประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1900 โดยชนะเลิศฟุตบอลดิวิชันหนึ่ง 3 สมัย และเอฟเอคัพ 1 สมัย
ทว่า นิวคาสเซิล ตกชั้นในยุคพรีเมียร์ลีกสองครั้งในฤดูกาล 2009 และ 2016 แต่สามารถเลื่อนชั้นกลับมาได้ภายในฤดูกาลเดียวทั้งสองครั้งในฐานะแชมป์ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ทั้งสองครั้งเลยทีเดียว
พวกเขามีคู่แข่งในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วยกัน ที่นับเป็นอริตลอดกาล นั่นก็คือ ซันเดอร์แลนด์ และถือเป็นหนึ่งในการพบกันของสองสโมสรที่ดุเดือดที่สุดในอังกฤษ เรียกว่าเจอกันนัดใน ก่อนแข่งหรือหลังแข่ง ต้องมีตำรวจมาคอยดูแลความเรียบร้อย เพราะตีกันยับเลยทีเดียว
นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในยุคพรีเมียร์ลีก (เปลี่ยนชื่อจาก ดิวิชั่น 1)
จากด้านบนเราได้รู้ประวัติการก่อตั้งของสโมสรกันไปแล้ว ซึ่งทีมงานได้ทำการตัดแบบรวบรัดให้เข้าใจง่าย ต่อไปนี้จะมาพูดถึงเรื่องราวตอนที่สโมสรเข้าสู่ยุค พรีเมียร์ลีก ที่ทางลีกสูงสุดของอังกฤษได้รีแบรนด์ดิ้งใหม่ เพื่อความทันสมัยมากขึ้นและก็เป็นชื่อรายกันนี้นับมาจนถึงปัจจุบัน มาดูกันว่าเรื่องราวตั้งแต่ปี 1992 ถึง ปัจจุบัน พวกเขาผ่านร้อนผ่านหนาวอะไรกันมาบ้าง และ ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้ผงาดเสียที
ปี 1992 เควิน คีแกน แข้งระดับตำนานของสโมสร ได้กลับคืนสู่นิวคาสเซิลอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม เมื่อเขาตอบรับสัญญาระยะสั้นเข้ามาคุมทีมแทน ออสซี อาร์ดิเลส ในขณะนั้น นิวคาสเซิ่ล กำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นอยู่ในดิวิชั่นสอง
แม้ว่าจะเพิ่งถูกซื้อกิจการโดยเซอร์ จอห์น ฮอลล์ มาหมาดๆ และในฤดูกาลนั้น นิวคาสเซิ่ล รอดพ้นการตกชั้น โดยเอาชนะ ปอร์ทสมัธ และ เลสเตอร์ ซิตี้ ในสองเกมสุดท้าย
ในฤดูกาลถัดมา ฟอร์มของ นิวคาสเซิ่ล เปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาเล่นฟุตบอลเกมรุกแบบตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งคว้าชัยชนะในเกมลีก 11 นัดแรก ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์เดอะ แชมเปี้ยนชิพ และเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกด้วยชัยชนะเหนือกริมสบี ทาวน์ 2–0
พวกเขาจบฤดูกาล 1993/94 ที่อันดับ 3 และได้รับการตั้งฉายาโดยสื่อมวลชนอังกฤษว่าเป็น “The Entertainers” ในปีถัดมา นิวคาสเซิ่ล จบฤดูกาลที่อันดับ 6
ในปี 1995/96 นิวคาสเซิ่ลเสริมทีมครั้งใหญ่ โดยดึงตัว ดาวิด ชิโนลา และ เลส เฟอร์ดินานด์ มาร่วมทีม พวกเขาเกือบคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้แล้ว แต่ก็ทำได้เพียงรองแชมป์ ทั้งที่ในช่วงท้ายปี พวกเขาทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึง 12 คะแนน ซึ่งเป็นเรื่องที่คลาสสิคให้กล่าวขานมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนฤดูกาลถัดมา พวกเขาก็เป็นแค่รองแชมป์อีกครั้ง แต่ก็มีการเซ็นสัญญาคว้าตัวยอดดาวยิงอย่าง อลัน เชียร์เรอร์ มาร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติโลก 15,000,000 ปอนด์ ปีนี้เป็นที่จดจำของแฟนบอลหลายคน เนื่องจาก นิวคาสเซิล ได้ถล่มเอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 5–0
ในเดือนมกราคม 1997 คีแกน กุนซือที่พาทีมเกือบได้แชมป์ลีก ลาออก และถูกแทนที่โดย เคนนี่ ดัลกลิช ซึ่งได้รับเลือกเพื่อมาช่วยแก้ปัญหาเกมรับของทีม
ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของปี 1997/98 ดัลกลิช พา นิวคาสเซิ่ล ผ่านเข้าไปเล่นศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ก็ตกรอบแบ่งกลุ่ม และพ่ายต่อ อาร์เซนอล ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพไป 0–2 หลังจากนั้น แฟนบอลก็เริ่มไม่พอใจกับสไตล์การทำทีมที่เน้นเกมรับของ ดัลกลิช
เมื่อบวกกับผลงานที่ตกต่ำลงของทีม ทำให้ ดัลกลิช ถูกปลดในช่วงต้นฤดูกาล 1998/99 และได้ รุด กุลลิช ตำนานกองหน้าชาวฮอลแลนด์ เข้ามารับตำแหน่งต่อ
โดยพาทีมเข้าชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ อีกครั้ง ก่อนจะพ่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อมา กุลลิช ได้ทำการซื้อตัวผู้เล่นราคาแพงหลายคนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในพรีเมียร์ลีก เช่น มาร์เซลิโน และ ซิลวิโอ มาริช
แถมยังมีสภาพแวดล้อมในทีมช่วงนั้นย่ำแย่อย่างมาก ประกอบกับการเริ่มต้นฤดูกาล 1999/2000 ได้อย่างเลวร้าย ทำให้ กุลลิช โดนไล่ออก
นิวคาสเซิ่ล ในยุคปี 2000 เป็นต้นมา
นิวคาสเซิ่ล ในยุคปี 2000 ได้แต่งตั้ง เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ตำนานทีมชาติอังกฤษ เข้ามากู้สถานการณ์ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในโซนตกชั้น เกมแรกภายใต้ยุคของ ร็อบสัน จบลงด้วยชัยชนะ 8–0 เหนือ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ พร้อมทั้ง 5 ประตูจากกัปตันทีม อลัน เชียร์เรอร์
โดยในช่วงที่ ร็อบสัน คุมทีม นิวคาสเซิลได้สร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยอาศัยนักเตะดาวรุ่งเป็นแกนหลัก ผู้เล่นอย่าง คีรอน ดายเออร์, เคร็ก เบลลามี่ และ โลรองต์ โรแบร์
ทำให้นิวคาสเซิ่ล กลับมาเป็นทีมระดับหัวแถวของพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ฟุตบอลเกมรุกอันน่าตื่นเต้นของพวกเขาทำให้ทีมทำผลยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2001/02 จนได้กลับเข้าไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีกครั้ง
ในฤดูกาล 2002–03 นิวคาสเซิ่ล ได้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นทีมแรกในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่แพ้ในรอบแบ่งกลุ่ม 3 เกมแรกแต่ผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง
หลังจากถูกจับฉลากแบ่งสายไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง บาร์เซโลน่า และ อินเตอร์ มิลาน แต่พวกเขายังทำผลงานในลีกได้ดีโดยจบอันดับ 3 ของลีก
ต่อมาในฤดูกาล 2003/04 นิวคาสเซิ่ล ตกรอบคัดเลือก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังพ่ายจุดโทษให้ ปาร์ติซาน เบลเกรด ต้องไปเล่นในถ้วย ยูฟ่า คัพ แทน โดยฤดูกาลนี้ จบในอันดับ 5 รวมทั้งเข้ารอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ แต่หลังจากนั้นสโมสรได้ปลด เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน และได้แต่งตั้ง แกรม ซูเนส แทน ซึ่งน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
ในฤดูกาล 2004/05 แกรม ซูเนส ได้เซ็นสัญญา ไมเคิ่ล โอเว่น กองหน้าทีมชาติอังกฤษ ที่ตกอับกับ เรอัล มาดริด มาสู่ทีมโดยมีค่าตัวเป็นสถิติใหม่ของสโมสร
อย่างไรก็ตาม กุนซือดีแต่ปากรายนี้ ถูกปลดในฤดูกาล 2005/06 ได้อย่างย่ำแย่ เกล็น ร็อดเดอร์ เข้ามาคุมทีมชั่วคราว และพาทีมจบอันดับ 7
รวมถึงผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศยูฟ่า อินเตอร์โตโตคัพ ได้สิทธิ์ไปเล่น ยูฟ่า คัพ สโมสรจึงแต่งตั้งเขาเป็นผู้จัดการทีมแบบเต็มตัว ส่วน อลัน เชียร์เรอร์ ก็ประกาศแขวนสตั๊ด
แต่ในฤดูกาล 2006/07 นิวคาสเซิ่ล ทำผลงานได้ไม่ดีนัก ถึงแม้จะคว้าแชมป์ ยูฟ่า อินเตอร์โตโตคัพ มาครองได้ แต่พวกเขาจบเพียงอันดับ 13 ในลีก โดย ร็อดเดอร์ ถูกไล่ออกจากสโมสร และตอนนี้สโมสรกำลังมีปัญหาด้านการเงินอย่างมากถึงขั้นจะล้มละลายได้เลยทีเดียว
เพราะทาง เซอร์ จอห์น ฮอลล์ ได้ยายามใช้เงินซื้อนักเตะมาร่วมทีมอย่างหนักหน่วงตั้งแต่ยุค 60 แต่ทว่าผลงานกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำให้ ไมค์ แอชลี่ย์ ที่รู้ข่าวว่าทีม นิวคาสเซิ่ล กำลังขาดทุนอย่างหนัก ทำให้เขามาทำการเจรจา โดยไล่ซื้อหุ้นของสโมสรไปเรื่อยๆ
เบ็ดเสร็จแล้วช่วงนั้นเขาใช้เงินไป 134 ล้านปอนด์ เพื่อเป็นผู้ถือหุ่นรายใหญ่ ของ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2006/07
สรุปประวัติความเป็นมาของ สาลิกาดง
นี่ก็คือประวัติความเป็นมาของสโมสร ซึ่งแน่นอนว่ายังไม่จบ เพราะยังไม่ถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งทีมงานได้เตรียมเรื่องราวอันเผ็ดร้อนนี้ไว้ในบทความต่อไป เพราะเป็นเรื่องราวที่แซ่บและน่าติดตามกันแบบยาวๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายท่านก็ได้ทราบกันแล้วว่า จุดเริ่มต้นของทีมนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง ส่วนบทความหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรกับสโมสรแห่งนี้ โปรดอดใจรอกันไม่นานครับ