หนึ่งในสโมสรระดับตำนานของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งปัจจุบันพวกเขาได้เจ้าของทีมใหม่เทคโอเวอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ถ้าหากพวกเขาเดินทางที่ถูกต้อง สโมสร นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด จะกลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดของเกาะอังกฤษได้ทันที ซึ่งแม้ว่าทีมนี้จะเป็นทีมที่โลดแล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีกอย่างยาวนาน และ พอมีแฟนคลับหนาหูอย่างบ้าง ซึ่งในประเทศไทยของเราก็มีแฟนพันธุ์ทีมนี้เหมือนกัน แต่น้อยคนนักที่จะรู้ถึงประวัติความเป็นมาของสโมสรแห่งนี้ วันนี้ทีมงาน Newcastlesoccer จะขอสถาปนาตนเอง ที่จะนำข้อมูลเกี่ยวกับสโมสรแห่งนี้ มาแนะนำให้พี่ๆ น้องๆ แฟนฟุตบอล ได้รู้จักสโมสรแห่งนี้กันมากขึ้น รวมถึงจะตั้งใจนำคอนเทนต์และบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับสโมสรแห่งนี้ มาเผยแพร่ที่เว็บไซต์นี้แบบจัดเต็ม ส่วนวันนี้มาพูดถึงประวัติความเป็นของสโมสรแห่งนี้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยวันนี้จะมาถึงพูดหนึ่งความชิบหายที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ตอนนั้นต้องยอมรับว่านรกเลยทีเดียว นั่นก็คือการที่ ไมค์ แอชลี่ย์ เป็นเจ้าของสโมสร
ไมค์ แอชลี่ย์ ความชิบหายของ นิวคาสเซิ่ล
มาเริ่มเรื่องราวในตอนที่ แอชลี่ย์ เจ้าของ Sports Direct สนใจซื้อสโมสร นิวคาสเซิ่ล ซึ่งตอนนั้นมีช่วงเวลาและอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง เริ่มกันเลยที่
แต่ในฤดูกาล 2006/07 นิวคาสเซิ่ล ทำผลงานได้ไม่ดีนัก ถึงแม้จะคว้าแชมป์ ยูฟ่า อินเตอร์โตโตคัพ มาครองได้ แต่พวกเขาจบเพียงอันดับ 13 ในลีก โดย ร็อดเดอร์ ถูกไล่ออกจากสโมสร และตอนนี้สโมสรกำลังมีปัญหาด้านการเงินอย่างมากถึงขั้นจะล้มละลายได้เลยทีเดียว
เพราะทาง เซอร์ จอห์น ฮอลล์ ได้ยายามใช้เงินซื้อนักเตะมาร่วมทีมอย่างหนักหน่วงตั้งแต่ยุค 60 แต่ทว่าผลงานกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำให้ ไมค์ แอชลี่ย์ ที่รู้ข่าวว่าทีม นิวคาสเซิ่ล กำลังขาดทุนอย่างหนัก ทำให้เขามาทำการเจรจา โดยไล่ซื้อหุ้นของสโมสรไปเรื่อยๆ
เบ็ดเสร็จแล้วช่วงนั้นเขาใช้เงินไป 134 ล้านปอนด์ เพื่อเป็นผู้ถือหุ่นรายใหญ่ ของ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2006/07
ส่วนในฤดูกาล 2007/08 เขาได้แต่งตั้ง แซม อัลลาไดซ์ ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีม โดยช่วงแรกเขาพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับทีม ไปดูบอลในสนามร่วมกับแฟนบอล และ พยายามทุ่มทุนโดยใช้เงินให้เป็นประโยชน์
ซึ่ง อัลลาร์ไดซ์ ได้เซ็นสัญญานักเตะมาสู่ทีมหลายคนเช่น เฌเรมี่, อลัน สมิธ, ดาวิด โรเซนนาล, เคลาดิโอ คาซาปา, โจอี้ บาร์ตัน เป็นต้น แต่ทีมฟอร์มตกจนไปอยู่ท้ายตาราง รวมถึงในเกมในบ้านที่แพ้ ลิเวอร์พูล 0–3 ทำให้มีเสียงโห่จากแฟนบอลในสนาม
ก่อนที่อัลลาร์ไดซ์จะโดนปลดและแทนที่ด้วย เควิน คีแกน ที่กลับมารับตำแหน่งอีกครั้ง ทำให้สร้างขวัญกำลังใจให้กับนักเตะและแฟนบอลจนผลงานดีขึ้นและจบอันดับ 12
ซึ่งก็ถือว่าตอนนี้ แอชลี่ย์ ยังไม่ได้โดนวิจารณ์อะไรมากนัก เพราะเขาก็พยายามเรียกศรัทธาแฟนบอล ด้วยการให้เงินเสริมทัพและเอา คีแกน มาคุมทีม
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2008–09 ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างคีแกนกับบอร์ดบริหารเรื่องการแทรกแทรงการซื้อขายนักเตะ และในเดือนกันยายน คีแกน ได้ลาออก สโมสรจึงได้เซ็นสัญญา โจ คินเนียร์ เป็นผู้จัดการทีม
ซึ่งตอนนี้ทองเริ่มลอกแล้วเพราะ แอชลี่ย์ บริหารงานแบบไม่จริงใจเหมือนจะให้เงินแต่ก็ไม่ให้เงิน ขี้งกขี้เหนียวเต็มที่ แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 คินเนียร์ ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจ
ทำให้สโมสรต้องเรียก อลัน เชียเรอร์ อดีตศูนย์หน้าของทีมเข้ามารับหน้าที่แทนเพื่อพาทีมหนีตกชั้นในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 8 นัด แต่ไม่สามารถช่วยทีมได้ โดยในนัดสุดท้าย นิวคาสเซิ่ล บุกไปแพ้ แอสตัน วิลล่า 0–1 ทำให้ทีมตกชั้น
ทำให้เริ่มมีการประท้วงเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วงจากแฟนบอล แต่ แอชลี่ย์ ก็ยังอยู่กับทีมต่อไป หลังจากตกชั้น เชียเรอร์ ก็หมดสัญญาคุมทีม โดยมี คริส ฮิวจ์ตัน ทำหน้าที่รักษาการแทน แต่ทีมต้องเสียนักเตะอย่าง ไมเคิล โอเว่น, มาร์ค วิดูก้า, ดาวิด เอ็ดการ์, โอบาเฟมี มาร์ตินส์, เชย์ กิฟเว่น, เซบาสเตียน บาสซง, เดเมียน ดัฟฟ์ และ ฮาบิบ เบย์
พร้อมทั้งมีข่าวว่า เควิน คีแกน ได้เรียกร้องเงินชดเชยที่ได้ระบุในสัญญาคุมทีม 3 ปี ก่อนจะลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากโดนแทรกแซงเรื่องการบริหาร ศาลตัดสินให้นิวคาสเซิ่ลจ่ายเงินชดเชยจำนวน 2,000,000 ปอนด์
โดยคีแกนไม่พอใจที่ถูก เดนนิส ไวส์ ผู้อำนวยการแทรกแซงเรื่องการซื้อขายนักเตะในการขาย เจมส์ มิลเนอร์ รวมถึงการซื้อ ชิสโก้ และ อิกนาซิโอ กอนซาเลซ และพยายามปล่อย โจอี้ บาร์ตัน ซึ่ง คีแกน พยายามรั้งตัวไว้
ขณะเดียวกัน ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของสโมสรได้ถูกกดดันจากแฟนบอลจึงประกาศขายทีมทำให้ทีมเริ่มระส่ำระสายมากขึ้น แต่ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล นิวคาสเซิ่ลก็เสริมทัพโดยการซื้อ แดนนี ซิมป์สัน ยืมตัว มาร์ลอน แฮร์วูด และเซ็นสัญญา ปีเตอร์ โลเวนครานด์ กับ ฟาบริซ ป็องครัต
ซึ่งสิ่งนี้ทำให้แฟนบอลเริ่มจงเกลียดจงชัง แอชลี่ย์ แบบเต็มตัว มีการประท้วงหลายต่อหลายครั้ง แต่เจ้าของทีมรายนี้ก็ยังหน้าด้านหน้าทนเหมือนเดิม เต็มที่ก็แค่ประกาศยุติการขายสโมสรเนื่องจากไม่ได้เงินตามที่คาดหวังเอาไว้
ยังดีที่ฤดูกาลนั้น นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด สามารถได้แชมป์ลีกรองและขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ โดยใช้เวลาแค่ฤดูกาลเดียว ก็ถือว่า คริส ฮิวจ์ตัน ทำผลงานได้ดี
ผลงานเริ่มดีขึ้นในช่วงต้นปี 2010 แต่ทำไมแฟนบอลยังอยากไล่ ไมค์ แอชลี่ย์
ในฤดูกาล 2010–11 นิวคาสเซิ่ล เริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเขาชนะทีมที่มีชื่อทั้ง อาร์เซนอล, แอสตัน วิลล่า รวมถึง ซันเดอร์แลนด์ แต่ผลงานก็เริ่มตกลง และหลังจากพ่าย เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ซึ่งเนื่องจากผลงานที่แย่ ทาง ฮิวจ์ตัน ก็ถูกปลด
โดย อลัน พาร์ดิว เข้ามารับตำแหน่งต่อ และในเดือนมกราคม สโมสรได้ปล่อย แอนดี้ คาร์โรลล์ เด็กปั้นของสโมสรให้แก่ ลิเวอร์พูล ด้วยราคาแพงระยับและทีมก็จบฤดูกาลด้วยอันดับ 12
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2011–12 พาร์ดิว ได้เปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่โดยการขายนักเตะอย่าง เควิน โนลัน, โจอี้ บาร์ตัน, และ โคเซ เอนรีเก ซานเชซ ออกจากทีม และเซ็นสัญญานักเตะรายใหม่เข้ามา เช่น โยฮัน กาบาย, ดาวิเด้ ซานตอน, และ แดมบ้า บา
ซึ่งทำให้เริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการไม่แพ้ใครต่อเนื่องถึง 11 เกม และยังชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงเดือนมกราคม สโมสรได้เซ็นสัญญานักเตะเพิ่มอีก 2 คน คือ ปาปิส ซิสเซ และ ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา
ทำให้ทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมรวมถึงชนะ ลิเวอร์พูล และ เชลซี จบอันดับ 5 ได้สิทธิ์ไปแข่ง ยูฟ่า ยูโรป้าลีก และ พาร์ดิว ยังได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมยอดเยี่ยม แต่ทีมมีผลงานย่ำแย่ในฤดูกาลถัดมาโดยอันดับหล่นไปท้ายตารางเป็นส่วนมาก และจบด้วยอันดับ 16 ก่อนจะทำผลงานดีขึนในฤดูกาล 2013–14 ด้วยการจบอันดับ 10
ซึ่งถือว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีของสโมสร แต่แฟนบอลก็ยังสาปส่ง ไมค์ แอชลี่ย์ อยู่ดี เพราะเขาจ้องจะหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองอย่างเดียวและเจียดเงินจำนวนเล็กน้อยให้ทีมงานเอาไปใช้เสริมทัพ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องขายนักเตะเพื่อเอาเงินมาทำทีม
รวมถึงพยายามเปลี่ยนชื่อสโมสรอีกต่างหาก เรียกว่าโดนด่าชิบหายวายป่วง ก่อนจะทนไม่ไหว เปลี่ยนมาใช้ชื่อ เซ็นต์ เจมส์ ปาร์ค เหมือนเดิม
ทว่า ในฤดูกาล 2014–15 นิวคาสเซิลเริ่มต้นด้วยการไม่ชนะใครใน 7 เกมแรก แต่ก็ชนะรวดในอีก 6 เกมต่อมาขึ้นไปอยู่อันดับ 5 แต่หลังจากหยุดสถิติของ เชลซี ที่ไม่แพ้ใครตั้งแต่เปิดฤดูกาลลงได้
พาร์ดิว ได้ขอแยกทางกับทีมเพื่อไปคุมทีม คริสตัล พาเลซ และ จอน คาร์เวอร์ ผู้ช่วยของพาร์ดิวขึ้นมารักษาการต่อจนจบฤดูกาล ในช่วงท้ายฤดูกาลพวกเขาต้องหนีตกชั้นอีกครั้ง แต่ชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้ 2–0 ในเกมสุดท้าย ทำให้รอดตกชั้น แบบหวุดหวิด
ในเดือนมิถุนายน 2015 สโมสรได้ปลด คาร์เวอร์ และแต่งตั้ง สตีฟ แม็คคลาเรน เข้าคุมทีม และได้นักเตะเข้ามาเสริมทีมได้แก่ จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม, อเล็กซานดราร์ มิโตรวิช, เซียม เดอ ยอง แต่ทีมก็ทำผลงานได้ไม่ดีนัก และในเดือนมกราคม ได้ทุ่มเงินเสริมนักเตะเพิ่มคือ อันดรอส ทาวน์เซนด์ , อองรี ไซเวต์, จอนโจ้ เชลวี่ย์ และ เซย์ดู ดุมเบีย
แต่ผลงานก็ยังไม่ดีขึ้นโดยชนะแค่ 6 เกมจาก 28 เกมในลีก ทำให้ตกอยู่ในอันดับที่ 19 ส่งผลให้ แมคคลาเรน ถูกปลด และแทนที่ด้วย ราฟาเอล เบนิเตช มาคุมทีมใน 10 นัดที่เหลือ แต่ไม่อาจช่วยให้สโมสรรอดพ้นการตกชั้นได้ และเป็นการตกชั้นครั้งที่สองในยุคของ ไมค์ แอชลีย์
ซึ่งแฟนบอลด่ากับชิบหายวายวอด แต่ข้อดีคือ เอล ราฟา หัวใจสุดยอด พร้อมช่วยทีมในการคุมลุยศึกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ต่อไปและพยายามทำทุกอย่างที่จะให้ทีมเลื่อนชั้นขึ้นมาได้
ในฤดูกาล 2016–17 สโมสรคว้าแชมป์เดอะแชมป์เปี้ยนชิพและกลับสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ โดยทาง เบนิเตซ ก็มุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ แม้เจ้าของทีมใจหมา จะไม่สนใจใยดีช่วยเหลืออะไรเขาเลยก็ตาม
สุดท้ายแล้ว เบนิเตซ เลือกจะอำลาทีมในฤดูกาล 2019 เนื่องจากขัดแย้งกับบอร์ดบริหารในนโยบายการซื้อขายผู้เล่นที่เขาไม่เคยได้รับการช่วยเหลืออะไรเลยสักอย่าง
แล้วทาง สตีฟ บรูซ ก็ได้เข้ามาทำทีม แต่ก็เป็นที่ไม่น่าพอใจสำหรับผลงานและแฟนบอลเลยแม้แต่น้อย แต่ทีมก็ยังถูไถมาได้ จนในที่สุด กลุ่มทุน พีไอเอฟ ซึ่งนำโดย อแมนดา สเตฟลีย์ และพี่น้องรูเบน ในราคา 305 ล้านปอนด์
ปิดฉากการเป็นเจ้าของทีม 14 ปี ของไมค์ แอชลีย์ และทำให้ นิวคาสเซิ่ล เป็นสโมสรที่มีเจ้าของทีมร่ำรวยที่สุดในประเทศ ทำให้แฟนบอลออกจากลูปนรกได้สำเร็จ ดีใจกันยกใหญ่ไปเลยทีเดียว
นี่ก็คือเรื่องราวของเจ้าของทีมสุดแย่ที่ตอนนี้ฟ้าใหม่กำลังจะเปิด ฤดูกาล 2022/23 ตอนนี้แฟนบอล สาลิกาดง ต่างใจจดใจจ่อรอคอยว่าทีมของเขาจะทะยานไปโซนด้านบนได้หรือไม่